1.ปัญญาประดิษฐ์ (AI) คืออะไร?​

ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ย่อมาจาก Artificial Intelligence คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีฟังก์ชันที่สามารถทำงานได้เหมือนกับมนุษย์ และสามารถเลียนแบบการทำกิจกรรมของมนุษย์ได้ เช่น การเรียนรู้ การวางแผน และการแก้ไขปัญหาต่างๆ เป็นตัวช่วยมนุษย์ในการคิด ซึ่งจะเน้นไปในเรื่องของการประมวลผล และวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เพราะ AI สามารถทำงานได้รวดเร็วกว่าสมองของมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกัน AI ยังไม่สามารถทำหน้าที่ที่ต้องใช้ประสาทสัมผัสได้  

ยกตัวอย่างปัญญาประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น  chatgbt siri

อ้างอิงจากhttps://www.youtube.com/watch?v=rqn1UHzwwcg

2. cloud Computing

Cloud Computing คือบริการที่ครอบคลุมถึงการให้ใช้กำลังประมวลผล หน่วยจัดเก็บข้อมูล และระบบออนไลน์ต่างๆจากผู้ให้บริการ เพื่อลดความยุ่งยากในการติดตั้ง ดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลา และลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเอง ซึ่งก็มีทั้งแบบบริการฟรีและแบบเก็บเงิน




อ้างอิงจากhttps://www.youtube.com/watch?v=7eqSNKeWB5I

3. IOT คืออะไร (อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง)

คำว่า IoT หรืออินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things) หมายถึงเครือข่ายรวมของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อถึงกันและเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกในการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์กับระบบคลาวด์ ตลอดจนระหว่างอุปกรณ์ด้วยกันเอง จากการเกิดขึ้นของชิปคอมพิวเตอร์ราคาไม่แพงและการสื่อสารโทรคมนาคมที่มีแบนด์วิดท์สูง จึงทำให้ตอนนี้เรามีอุปกรณ์หลายพันล้านเครื่องที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น แปรงสีฟัน เครื่องดูดฝุ่น รถยนต์ และเครื่องจักรสามารถใช้เซ็นเซอร์เพื่อรวบรวมข้อมูลและตอบสนองต่อผู้ใช้ได้อย่างชาญฉลาด

อ้างอิงจากhttps://www.youtube.com/watch?v=W_In4Zp_Cog 

ยกตัวอย่าง การควบคุมและมอนิเตอร์เครื่องจักรจากศูนย์กลาง

Appomax ทำ SCADA

SCADA ในยุค IoT พัฒนาไปมากกว่าแค่ระบบควบคุม เพราะสามารถเชื่อมต่อข้อมูลจากเครื่องจักร Sensor และระบบพลังงานทั้งหมดแบบเรียลไทม์ แล้วส่งขึ้น Cloud หรือ Edge Platform เพื่อวิเคราะห์ต่อยอดได้ทันที

ตัวอย่างการใช้งาน:

โรงงานผลิตอาหารแห่งหนึ่งติดตั้ง SCADA เชื่อมกับอุปกรณ์ผ่าน IoT Gateway ข้อมูลการผลิตและพลังงานถูกแสดงบน Dashboard ส่วนกลาง ทำให้หัวหน้าฝ่ายผลิตสามารถสังเกตการหยุดชะงักของเครื่องจักร และตัดสินใจแก้ไขได้ภายในไม่กี่นาที

คุณจะได้รับ:

  • เห็นข้อมูลทั้งหมดแบบรวมศูนย์
  • ตรวจสอบสถานะและสั่งงานระยะไกล
  • แจ้งเตือนเมื่อพบค่าผิดปกติแบบอัตโนมัติ
  • รองรับการต่อยอดเข้าสู่ระบบ AI ได้ง่าย 

4.เทคโนโลยีเสมือนจริง

Augmented Reality หรือ AR คืออะไร

Augmented Reality (AR) คือเทคโนโลยีที่นำข้อมูลเสมือนมาผสมผสานกับโลกความเป็นจริง ทำให้ผู้ใช้เห็นภาพที่มีการปรับปรุงและเสริมสร้างด้วยข้อมูลเสมือน ระบบ AR สามารถใช้งานได้ผ่านหน้าจอของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือแว่นตาเสมือน
แล้วต่างยังไงกับ VR (Virtual Reality) สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
หลักการทำงานของ AR

Augmented Reality (AR) เป็นเทคโนโลยีที่เปิดประสบการณ์ใหม่ในการมองเห็นโลกโดยการผสมผสานข้อมูลเสมือนลงไปในความเป็นจริง หลักการทำงานของ AR สามารถอธิบายได้ดังนี้

การรับข้อมูลจากโลกความเป็นจริง: เทคโนโลยี AR ใช้กล้องหรือเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ในการส่งข้อมูลจากความเป็นจริงมายังอุปกรณ์ ข้อมูลนี้จะถูกนำไปประมวลผลเพื่อให้เทคโนโลยี AR รู้ว่าวัตถุหรือสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในภาพคืออะไร
การประมวลผลข้อมูล: หลังจากที่รับข้อมูลจากโลกความเป็นจริง ระบบ AR จะประมวลผลข้อมูลด้วยซอฟต์แวร์พิเศษ เพื่อทำความเข้าใจวัตถุ และสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ หลังจากนั้น ระบบจะนำข้อมูลเสมือนมาผสมผสานกับภาพความเป็นจริงที่มาจากกล้อง
การแสดงผลลัพธ์: เมื่อระบบประมวลผลข้อมูลเสร็จสิ้น ภาพเสมือนที่ผสมผสานกันระหว่างความเป็นจริงและข้อมูลเสมือนจะถูกแสดงผลผ่านหน้าจอ, แว่นตา AR หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ตามที่ผู้ใช้มีอยู่ ผลลัพธ์นี้จะทำให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลเสมือนรวมกับความเป็นจริง
การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม: เทคโนโลยี AR สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ทั้งการเคลื่อนที่ของผู้ใช้ และการเปลี่ยนแปลงของวัตถุหรือสิ่งแวดล้อม โดยอัตโนมัติ นำไปสู่ประสบการณ์ที่ยืดหยุ่นและน่าสนใจยิ่งขึ้น
ปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้: หนึ่งในความสามารถที่น่าสนใจของ AR คือการที่ผู้ใช้สามารถปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลเสมือนที่ถูกนำเข้ามาในความเป็นจริง ผู้ใช้สามารถเคลื่อนย้าย หรือจัดการกับข้อมูลเสมือนในระบบ AR นั้น ๆ โดยตรง 

ยกตัวอย่าง



อ้างอิงจาก https://youtu.be/HY32pk8v_tM
  
จัดทำโดย
นายพีระวัฒน์ บุตรครุธ เลขที่8
นายฤทธิรุตม์ ทองทิพย์ เลขที่9


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

น้ำตกชายคลอง